วันอังคารที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2559

วัดเวียง

วัดเวียง



วัดเวียงตั้งอยู่ที่ 301 บ้านเวียง ต.ล้อมแรด อ.เถิน จ.ลำปาง สังกัดมหานิกาย มีเจดีย์และพระพุทธรูป รูปแบบศิลปะสมัยเชียงแสน
      ประวัติการก่อสร้างวัดได้ปรากฎในพงศาวดารกล่าวคือ ขุนหลวงสุตตา ผู้ที่มีความสำคัญ รักษาเกียรติประวัติโดยไม่ยอมขึ้นตำแหน่งนายทหารพม่า ได้มาอุปสมบทที่วัดพระธาตุลำปางหลวง มีลูกชายสามคน ได้แก่ ขุนหมื่น ขุนชัย และสามเณรอาทิตย์ ซึ่งเป็นศิษย์ครูบาเจ้าลำปางนคร ต่อมาภายหลังได้เป็นพระสังฆมหาเถระ 
      ครูบาอาทิตย์ ได้มาบูรณวัดเวียงตามตำนาน  ประวัติเมือง 'สังฆเติ๋น'       วัดเวียงเป็นวัดที่สำคัญ ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเถิน ซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านสมัยโบราณ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำวังทางทิศตะวันตก
      ลักษณะโดยทั่วไปของวัด ประกอบด้วยซุ้มโขง, วิหาร และเจดีย์ ซุ้มประูโขงมีลักษณะหรือได้รับอิทธิพลรูปแบบมาจากประตูโขงวัดพระธาตุลำปางหลวง วิหารมีลักษณะเป็นวิหารโล่งรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ภายในวิหารมีซุ้มพระพุทธรูปมีลักษณะคล้ายประตูโขง เป็นที่ประดิษฐ์สถานของพระประธาน มีการประดับตกแต่งลวดลายมีรายละเอียดที่สวยงาม วิหารวัดเวียงเป็นวิหารตัวอย่างดั้งเดิม มีเสาวิหารหลักแปดต้นขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณคนโอบ มีการเขียนลายลักษณ์สีทองบนพื้นแดง เป็นรูปกินรีและรูปสิงห์ลวดลายไทย




  พระสงฆ์ที่ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดเวียง จากอดีตถึงปจจุบันเท่าที่มีหลักฐานอ้างอิง
   ๑. หลวงปู่คำแสน   ๒. ครูบาโณ 
   ๓. หลวงพ่อปินตา  ๔. หลวงปู่ปัน
   ๕. หลวงปู่เปี้ย        ๖. หลวงพ่อเต
   ๗. หลวงพ่อป้าย    ๘. หลวงพ่อก๋วน
   ๙. หลวงปู่ตื้น       ๑๐. พระนนทิ(ป๊อก)
 ๑๑. พระอธิการคำฝน  ๑๒. พระอธิการลม ปลันจิตโต
 ๑๓. พระถัมภ์         ๑๔. พระอธิการบุญมา สริวโส
 ๑๕. พระครูสุทธิสีลสังวร
๑๖, พระปลัดชัยวัฒน์




ผู้จัดทำ

นางสาวสาริณีย์. เครือพุก 581758046 Section AD
วิชาเทคโนโลยีสารสนเทศในชีวิตประจำวัน


ที่มา http://www.thoenpost.com/index/home.html
https://th.wikipedia.org/wiki/

วัฒนธรรม ประเพณี

พิธีตักบาตราเทโว 



  บรรยากาศพิธีตักบาตรเทโวโรหณะ ในเทศกาลออกพรรษา ณ บันไดนาควัดสว่างอารมณ์ อ.เถิน จ,ลำปาง วันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2558 ด้วยภิกษุจากทั่วสารทิศในอำเภอเถินและใกล้เคียง บรรเลงอังกะลุงโดยวง "จามรีศรีเวียงชัย" จากอำเภอลี้ จังหวัดลำพูน โดยพุทธศานิกชนจำนวนมากในการร่วมทำบุญตักบาตรเทโวในครั้งนี้

พิธีอัญเชิญพระธาตุแก้วเพื่อประดิษฐานบนยอดพระเจดีย์ธาตุบ้านเวียง





   

ตำนานโบราณ แม่ถอด

สิ่งศักดิ์สิทธิ ความเชื่อ นิทานตำนานของคนโบราณ เกี่ยวกับเมืองเถิน




จากตำนานสังฆเติ๋น ชาวเมืองเถินได้ถือเอาตำแหน่งพระธาตุศักดิ์สิทธิที่เชื่อมต่อโคจรหากันได้ ๓ พระองค์ จากความเชื่อนั้น ตามที่มีปรากฎการณ์แสดงลักษณะเป็นลำแสงไฟจากลูกแก้วพวยพุ่งออกจากพระธาตุเดินทางไปมาหาสู่กันในวันสำคัญต่างๆ ตามธรรมเนียมประเพณีของชาวเหนือเชื่อว่าปรากฎการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นเฉพาะปูชนียสถานที่สำคัญเท่านั้น อย่างเช่นที่เมืองลำปางก็มีปรากฎการณ์ว่า์ แก้วจากวัดพระธาตุวัดลำปางหลวงแสดงรัศมีเดินทางไปมาหาสู่ยังวัดเสด็จ ฯลฯ ชาวอำเภอเถินเมื่อครั้งโบราณมีความเชื่อว่าพระธาตุสำคัญได้เสด็จขึ้น ๓ แห่งด้วยกัน อันได้แก่ วัดพระธาตุวังตวง, วัดดอยป่าตาลหรือวัดม่อนงัวนอน และอีกแห่งหนึ่งได้แก่บริเวณป่าในเขตตำบลแม่ถอดบริเวณขุมแก้วที่เรียกกันว่า โป่งข่ามหลวง ที่นับถือกันว่า แก้วจากบ่อนี้เมื่อนำไปไว้ที่ใดก็มักจะเกิดแสงประหลาดเปล่งประกายออกมา ถ้าเป็นหน่อแก้วก็มักนิยมเก็บไว้บนหิ้งบูชาพระ 
    ตามตำนานความเชื่อเกี่ยวกับความสำคัญของสถานที่ทั้งสามนี้ ได้สัมพันธ์กับตำนานเรื่องวัวแดงซึ่งเป็นอดีตภพชาติหนึ่งของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งได้เคยประสูติเป็นลูกวัวแดงและได้เคยอาศัยหากินบริเวณที่เป็นที่ตั้งของวัดพระธาตุวังตวงในปัจจุบัน ปางเมื่อพระโพธิสัตว์ทรงได้บรรลุพระสัมมาโพธิญาณแล้ว จึงได้มาประทับรอยพระบาทไว้ สถานที่อีกแห่งได้แก่วัดดอยป่าตาลที่มีชื่อเรียกว่าวัดม่อนวัวนอน หรือม่อนวัวน้อยในตำนาน ส่วนสถานที่ประสูติิตามตำนานฉบับนี้ได้กล่าวว่า จากลักษณะทิศทางตามตำนานแล้วนั้นตรงกับตำบลแม่ถอด สถานที่ซึ่งเคยเกิดลำแสงประหลาดบ่อยครั้ง
    ยังมีตำนานแก้วกับพระธาตุแก้วทั้งสี่อีกฉบับหนึ่ง ในตำนานฉบับนี้ได้กล่าวถึงพื้นที่เฉพาะในเขตตัวเมืองเถิน ซึ่งเป็นพื้นที่อยู่ระหว่างกลางกับพื้นที่ที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น โดยไม่รวมเขตพระธาตุวังตวงเข้าไว้ด้วย โดยได้ถือเอาพระธาตุสามแห่งจากสามเจดีย์ อันได้แก่ วัดพระธาตุดอยป่าตาล, วัดเวียง และวัดออมแก้ว หรือวัดอุมลอง ตามตำนานฉบับดังกล่าวได้กล่าวถึงพระบาทเจ้าผาน้อย ความว่าที่แม่ถอดนั้นได้ปรากฎรอยพระพุทธบาทหินริมแม่น้ำแม่แก่งซึ่งเป็นคูหาถ้ำตามตำนานที่ได้ระบุไว้
    ตำนานที่เกี่ยวกับแม่ถอดนั้น ได้กล่าวไว้ว่า ยังมีชาวบ้านที่เรียกว่า 'พ่อนา' ได้ปลูกเรือนพักอาศัยหากินอยู่บริเวณเชิงดอย แล้วมีัวัวของไพรเจ้าป่าที่อาศัยอยู่ในถ้ำดอยบริเวณนั้นได้ลงมากินข้าวของพ่อนาที่ปลูกเอาไว้ พ่อนาก็เลยยิงวัวตัวนั้นบาดเจ็บและำได้สะกดรอยติดตามไปจนพบ 'ไพรผู้เฒ่าเจ้าป่า' ที่ล่ามเถาวัลย์มัดวัวที่บาดเจ็บตัวนั้นและกำลังให้ยาแก่วัว พ่อนาจึงได้กล่าวแก่ไพรเจ้าป่าว่า วัวของไพรเจ้าป่าไปกินข้าวอันที่ปลูกไว้สำหรับไว้เลี้ยงชาวบ้าน ว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องนัก ไพรเจ้าป่าก็ยอมให้ปรับเป็นสินไหมเงินทองและทรัพย์สินแก่พ่อนา จนพ่อนานั้นได้เป็นเศรษฐี และกระภุมพีที่ตรงนั้นเป็นสถานที่ที่ได้เทเงินทองและสมบัติให้แก่พ่อนา จึงได้เรียกสถานที่ตรงนั้นว่า 'แม่ถอก' (ถอก แปลว่า เท) กาลต่อมาจึงได้เพี้ยนเป็นชื่อว่า 'แม่ถอด' มาจนถึงปัจจุบันนี้
    ปัจจุบันบริเวณที่ปรากฎถ้ำและรอยพระพุทธบาทนั้น ได้มีพระธุดงค์สับเปลี่ยนหมุนเวียนมาปฎิบัติธรรมและต่อมาได้ทำการบูรณะก่อสร้างให้เป็นวัดขึ้น มีชื่อว่า 'วัดถ้ำสุขเกษมสวรรค์' ส่วนสิ่งที่เป็นเงินเป็นทองสันนิษฐานว่าคงจะเป็นสถานที่บ่อแก้วในตำบลแม่ถอด ที่เรียกกันต่อมาว่า 'แก้วโป่งข่าม' 

ข้อมูล : จากหนังสือขุมทรัพย์สังฆเติ๋น, เนื่องในงานทอดกฐินสามัคคีถวายวัดสบคือ อำเภอเถิน จังหวัดลำปาง
           เรียบเรียงและเขียนโดย อาจารย์ศักดิ์ สักเสริญ (ศักดิ์ ส.) รัตนชัย 


หมายเหตุ : มีการแก้ไขตัดทอนเพิ่มเติมข้อความและการเรียบเรียงจากต้นฉบับ     'กฤช พรมชาติ








เมืองเถินจากอดีตสู่ปัจจุบัน

เมืองเถินจากอดีต..สู่ปัจจุบัน


เมืองเถินจากหลักฐานทางโบราณคดีพบว่ามีร่องรอยของริเวณที่มีคูน้ำคันดินล้อมรอบที่เรียกว่า 'เวียง' อยู่สามแห่ง แห่งหนึ่งคงเป็นเวียงเถิน คือ ตัวเมืองเถิน ที่มีวัดเวียงเป็นจุดศุนย์กลาง แต่ร่องรอยคูน้ำและคัดินสูญหายไปหมดสิ้น อันเนื่องมาจากน้ำเซาะและการขยายถิ่นที่อยู่อาศัยของชุมชนที่อยู่สืบกันมาทกุวันนี้ เมืองนี้ในพงศาวดารใบลานของท้องถิ่นเรียกว่าเมือง 'อิงฆบถรัฐ' เล่ากันว่ากำแพงเมืองและเขตเมืองได้พังจมแม่น้ำวัง ทำให้สมัยหลังลงมามีการสร้างเวียงใหม่อีกสองแห่ง คือ เวียงป้อมและเวียงเป็ง ในสมัยเจ้าฝั้นเป็นเจ้าเมืองครองเมืองเถิน และเจ้าหาญผู้น้องครองเมืองลำปาง คือ ราว พ.ศ. 1922 ปัจจุบันยังปรากฏซากเวียงทั้งสองอยู่ทางทิศตะวันตกของวัดเวียง ส่วนกำแพงคันดินและคูทางตอนใต้ของเวียงสองชั้นหันข้างลงแม่น้ำวังมีซากโบราณสถานเหลืออยู่บ้างนิดหน่อย
   เมืองเถินจากอดีตเคยรุ่งเรืองมาก่อน ทั้งนี้อาศัยจากหลักฐานการมีเวียงตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกันถึงสามแห่ง เป็นสิ่งบ่งบอกถึงความเป็นเมืองสำคัญของบ้านเมืองโบราณในภาคเหนือที่เคยเป็นแคว้นล้านนา เพราะเมืองสำคัญหลายๆแห่งไม่ว่าจะเป็นเชียงใหม่ เชียงราย พะเยา และเชียงแสน มักมีเวียงบริวารอยู่ใกล้ๆเสมอในที่นี้เวียงที่เป็นตัวเมืองก็คือ เวียงเถิน ที่มีวัดเวียงตั้งอยู่เป็นศูนย์กลางที่มีการอยู่มาอย่างสืบเนื่อง ทำให้เวียงเถินกลายเป็นชุมชนขนาดใหญ่ ตั้วเรียงรายอยู่ทางฝั่งตะวันตกของลำน้ำวัง
   โดยเชื้อสายและเผ่าพันธุ์ คนเถินแต่เดิมคือคนลำปางที่ผสมผสานกับคนพม่า จึงมีความสัมพันธ์กับวัฒนธรรมพม่าอยู่ไม่น้อย แต่ถ้ามองในสายตาของคนภายนอก คนเถินคือคนลาวลำปางที่มีการขยายตัวจากลุ่มน้ำวังมาสู่ลุ่มน้ำยม ต่อเขตสุโขทัยและแพร่นั้นเอง แม้แต่การตั้งอำเภอเถินให้เป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดลำปาง
   ก่อนสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เมืองเถินยังมีอาณาเขตอยู่เพียงในเขตเวียงเดิมทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำวัง เป็นเมืองเล็กๆที่มีถนนผ่านกลางเมืองตั้งแต่บริเวณบ้านอุมลองลงมายังบ้านเวียงและบ้านสบคือ ท่านาง ล้อมแรด และบ้านเหล่าตามลำดับ มีบ้านเรือนสร้างด้วยไม้สัก หลังคาจั่วบ้าง ทรงปั้นหยาบ้าง หันหน้าเข้าถนนเรียงรายไปตลอดลำน้ำวังและมีวัดตั้งอยู่เป็นระยะไป ที่โดดเด่นคือ วัดเวียงและวัดอุมลอง ซึ่งมีพระธาตุ เจดีย์ และวิหาร มีซุ้มประตูที่งดงามตามแบบวัดพระธาตุลำปางหลวง ซึ่งแกะสลักลวดลายโดยช่างชาวพม่าที่สวยงามหาดูยาก
   เมื่อบ้านเมืองเจริญขึ้นนับตั้งแต่รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี มีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เมืองเถินก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง มีการสร้างและขยายถนนจากเถินไปยังลำปางและเป็นเส้นทางที่เชื่อมต่อไปยังจังหวัดเชียงใหม่ และมีการขยายถนนเส้นเดิสเก่าแก่ของย่านที่อยู่อาศัย แล้วความเป็นมาของเมืองเถินที่มีมาแต่อดีตก็ได้รับการพัฒนาทางด้านวัตถุมากมาย
   เมืองเถินแต่เดิมเคยเป็นเมืองเล็กๆที่สวยงาม ตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ แต่ละบ้านมีสวนครัวและสวนผลไม้ ที่โดดเด่นก็คือการปลูกส้มเกลี้ยง ชาวบ้านมีอาชีพทำสวนส้มเกลี้ยงเป็นจำนวนมาก และอาชีพดั้งเดิมของชาวเถินคือการเลี้ยงครั่งเป็นอาชีพ และการทำนา มีข้าวเพียงพอสำหรับเลี้ยงครอบครัว
   แต่สิ่งที่ทำให้เมืองเถินมีชื่อเสียงอีกอย่างหนึ่ง คือ แก้วโป่งข่าม ที่ผู้คนเกือบทั่วประเทศนิยมซื้อนำไปทำเป็นเครื่องประดับและคุ้มกันภัย
   กล่าวโดยสรุปคือ เมืองเถินตั้งอยู่ในตำแหน่งทางภูมิศาสตร์อันเป็นชุมทางการคมนาคม มีความเจริญ มีพัฒนาการที่เปลี่ยนแปลงบ้านเมืองเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา จากการสันนิษฐานทางประวัติศาสตร์เมืองเถินน่าจะมีมาก่อนสุโขทัยเป็นราชธานี คือช่วงพุทธศตวรรษที่ 19 เพราะสภาพแวดล้อมของเมืองเถินมีทั้งที่ราบลุ่มและความอุดมสมบูรณ์ของน้ำและป่าไม้ อันจะทำให้ผู้คนจากแคว้นล้านนาไทสัญจรไปมาระหว่างลุ่มน้ำปิง วัง และยม อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานทำกิน
   ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 19 ลงมา เมืองเถินจึงมีฐานะเป็นเมืองด่านชุมทางคมนาคมระหว่าง ตาก ลำพูน เชียงใหม่ แพร่ และสุโขทัย และเมืองตรอกสลอบที่วัดบางสนุก อำเภอวังชิ้น จังหวัดแพร่
   นับแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เถินก็เคยเป็นเมืองหน้าด่านที่สำคัญของอาณาจักรล้านนา เป็นเส้นทางการเดินทัพของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และในขณะเดียวกันก็มักถูกใช้เป็นเมืองฐานทัพของฝ่ายตรงข้าม เช่นเมื่อครั้งที่อยุธยาและพม่ามีศึกกับทางเชียงใหม่
   สำหรับศิลปวัฒนธรรมของเถินนั้น ดูเหมือนพัฒนาขึ้นในช่วงที่พม่าขยายอำนาจเข้ามาปกครองหัวเมืองล้านนา ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากพม่า ดูได้จากวัดวาอารามที่สำคัญของเมืองเถิน เช่น วัดเวียง วัดอุมลอง ก็ล้วนสร้างขึ้นในในยุคนี้ทังสิ้น ซึ่งมีศิลปะแบบพม่าผสมกับศิลปะล้านนา(ลาว) ปรากฎเป็นหลักฐานอยู่
   เมื่อย้อนรอยถึงอดีต เมืองเก่าแก่ที่สุดของเมืองเถินได้แก่ 'บ้านเวียง' เข้าใจว่า'บ้านเวียง'ในสมัยนั้นคงเจริญและเป็นจุดศูนย์กลางของเมืองเถิน ดังปรากฎหลักฐานคือ วัดบ้านเวียงมีวิหารเก่าแก่สร้างแบบสถาปัตยกรรมล้านนา แสดงว่าได้รับอิทธิพลของเชียงใหม่และลำปาง เพราะดูตามภูมิศาสตร์เมืองเถินอยู่ติดกับอำเภอลี้ จังหวัดลำพูน ต่อเนื่องไปยังจังหวัดเชียงใหม่ ต่อมาเมื่อบ้านเมืองเจริญขึ้น ราษฎรอพยพออกจากบ้านเวียงขยายที่ทำกิน โดยเฉพาะที่นาเป็นที่ทำกินหลักได้ขยายไปทางทิศเหนือ คือ บ้านอุมลอง ในสมัยนั้นบ้านอุมลองเป็นศูนย์กลางของการค้า เพราะมีกาดยาว(ตลาดยาว) ขายสรรพสินค้าให้แก่ชาวบ้านอื่นๆ ต่อมาความเจริญก็ค่อยๆขยายไปโดยรอบบ้านเวียง ได้แก่ บ้านหนองเตา บ้านแม่ปะ แม่เติน ไปจนถึงท่ามะเกว๋น ห้วยริน ปางอ้า ทุ่งเสลี่ยม แม่สรอย ซึ่งส่วนใหญ่มีพื้นฐานเป็นคนเมืองเถิน และยังสันนิษฐานอีกว่าชนชาวเถินที่แท้จริงได้อพยพถิ่นฐานมาจากอาณาจักรล้านนา จากเชียงแสน ลำปาง และเชียงใหม่เป็นส่วนใหญ่ ทั้งนี้จากการสังเกตุภาษาพูดจะมีสำเนียงคล้ายกับสำเนียงเชียงใหม่ เพียงแต่ออกเสียงห้วนสั้นกว่า
   เมืองที่ขยายไปทางทิศใต้ตามลำน้ำวังได้แก่ บ้านสบคือ บ้านท่านาง บ้านล้อมแรด บ้านเหล่า บ้านท่า บ้านวังหิน ต้นธง สองแคว สองแคว แม่พริก ทิศตะวันตกได้แก่ ห้วยแก้ว ปากกอง นาบ้านไร่ สันหลวง ผาปัง และมีที่ออกไปหากินถิ่นและอพยพเข้ามาตั้งรกราก มีทั้งชาวจีนที่มาจากปากน้ำโพ(นครสวรรค์)ก็มาก ดูตัวอย่างคนบ้านท่า ท่าเม วังหิน ที่ผู้คนได้อพยพมาจากบ้านระแหง เมืองตากสองแคว จึงมีสำเนียงการพูดที่ต่างไป
   เมืองเถินหากนับการขี้นเป็นหัวเมือง ตามการปกครองแบบกระจายอำนาจก็เพียงเริ่มต้นเมื่อรัชสมัยรัชกาลที่ 5 สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงแบ่งการปกครองแบบ ภาค มณฑล จังหวัด อำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน เถินถูกยกให้เป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดลำปาง มีนายอำเภอคนแรก คือ พระสถล แล้วก็สับเปลี่ยนนายอำเภอมาจนถึงปัจจุบัน

เอกสารอ้างอิง :

วารสารเมืองโบราณ ปีที่ 5 ฉบับที่ 4 ศรีศักดิ์ วัลลิโภดม พ.ศ. 2522
การสัมภาษณ์นายอ้าย อาษา มัคทายกวัดอุมลอง วาระตั้งแต่ พ.ศ. 2500-2544
ทะเบียนศาสนสมบัติของวัดอุมลอง
หนังสือประวัติวัดทั่วราชอาณาจักร เล่มที่ 8 พ.ศ. 2532 กรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ
รวบรวม-เรียบเรียง : ศาสตราจารย์เกียรติคุณ จำรูญ ยาสมุทร, นายประเสริฐ คำใส  หมายเหตุ มีการแก้ไขเรียบเรียงบางส่วน  

ที่มา http://www.thoenpost.com/tale/thoen1.html

แก้วโป่งขาม

ความเป็นมาของแก้วโป่งข่าม

คำว่า "แก้วโป่งข่าม" หมายเอาหินแก้วจากบริเวณดอยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของดอยโป่งหลวงในเขตตำบลแม่ถอด อำเภอเถิน จังหวัดลำปาง
   แหล่งกำเนิด คือ บริเวณเทือกดอยขุนแม่อาบ ขุนแม่อวม และขุนดอยต่างๆ อันมีห้วยออกรู ดอยแม่ผาวง ดอยห้วยมะบ้า ดอยห้วยตาด ดอยโป่งหลวง ดอยห้อยกิ่วดู่ ดอยโป่งแพ่ง และดอยผาแดง เทือกเขาแม่อาบได้ให้กำเนิดลำห้วยแม่แก่ง และลำห้วยแม่เติน ซึ่งลำห้วยแม่แก่งเกิดมาจากดอยห้วยออกรูของดอยขุนแม่อาบ ส่วนลำห้วยแม่เตินเกิดมาจากดอยผาแดงที่อยู่ระหว่างดอยขุนแม่อวบและขุนดอยแม่อาบ เป็นส่วนหนึ่งของแนวเทือกเขาพันวานที่กั้นระหว่างเขตเมืองเถินและเขตเมืองลี้ จังหวัดลำพูน 
   โดยที่อาณาเขตของบ่อแก้วโป่งข่ามอยู่ในตอนล่างของดอยขุนแม่อาบและดอยผาแดง อันเป็นขุนดอยที่เป็นใหญ่กว่าเขาดอยทั้งปวงในระเวกนั้น และได้กำเนิดเรื่องราวอันศักดิ์สิทธิ์ของแก้วโป่งข่ามบริเวณศูนย์กลางของพื้นที่ดังกล่าว ที่เรียกกันว่า "ดอยโป่งหลวง" และได้ให้กำเนิดลำห้วยโป่งอยู่ระหว่างช่องดอยโป่งหลวงและโป่งแพ่ง ซึ่งห้วยโป่งได้ไหลไปรวมกับห้วยมะบ้าและห้วยแม่ผางวง ไหลลงสู่บริเวณหมู่บ้านนาบ้านไร่ แล้วไหลรวมกับห้วยบ่อช้างล้วงและลำห้วยแม่แก่ง ไหลไปบรรจบรวมกับแม่น้ำวังที่บริเวณบ้านสบเตินและบ้านสบแก่ง ซึ่งแม่น้ำวังเป็นสายน้ำสำคัญเสมือนสายโลหิตหล่อเลี้ยงผู้คนในเขตอำเภอเถินนี้ด้วย
   ลำห้วยแม่แก่งที่จริงแล้วเป็เพียงลำห้วยเล็กๆ แทบจะไม่มีน้ำในยามฤดูแล้ง แต่ด้วยระบบชลประทานแบบเหมืองฝายของชาวบ้านจนสามารถเก็บกักน้ำได้ และสามารถจ่ายน้ำให้กับเขตพื้นที่ บ้านอุมลอง บ้านเวียง บ้านท่านาง บ้านล้อมแรด อันเป็นเขตพื้นที่ตั้งที่ว่าการอำเภอเถิน ทิศตะวันตกของแม่น้ำวัง 
   ตำบลแม่ถอด เป็นตำบลที่อยู่ด้านทิศเหนือสุดของอำเภอเถิน และอำเภอเถินก็ตั้งอยู่ส่วนทางทิศใต้ของจังหวัดลำปาง 

คำว่า "โป่งข่าม" หมายความว่า 
   คำว่า "โป่ง" ตามพจนานุกรมหลักภาษาไทยภาคพายัพ เรียบเรียงโดยพระธรรมราชานุวัตรราชบัณฑิตยสถาน จัดพิมพ์ในปี พ.ศ. ๒๕๐๒ แปลคำว่า โป่งดิน คือ ดินโป่ง โป่งน้ำ คือ น้ำโป่ง มิได้แปลคำว่า โป่ง โดยเฉพาะ ส่วนพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๔๙๓ แปลคำว่า โป่งดิน คือ ดินที่มีเกลือ โป่งน้ำ คือ ช่องดินที่มีน้ำพุขึ้นมา คำว่า "โป่ง" หมายถึง ของที่พองลม เรียกผีที่อยู่ตามดินโป่ง ว่า ผีโป่ง เรียกป่าที่ดินโป่งว่า ป่าโป่ง
   คำว่า "ข่าม" หมายถึง การอยู่ยงคงกระพัน
   แล้วเมื่อเอาคำสองคำมารวมกัน จะแปลความหมายว่าอย่างไร
   บริเวณตามผืนป่าตามขุนดอยแม่แก่ง มีดินโป่งอยู่หลายแห่ง ก่อนที่จะถึงบริเวณที่เรียกว่าโป่งหลวง แหล่งกำเนิดโป่งข่าม โดยมีโป่งแกอยู่บริเวณด้านซ้าย และโป่งเพ่ง โป่งแม่ล้อม อยู่ถัดออกไป ล้อมรอบบริเวณที่เป็โป่งหลวง พระฤาษีที่อาศัยอยู่ในป่ามักอาศัยถ้ำเป็นที่พำนักอาศัย และอาศัยเกลือจากโป่งดินด้วย ที่เขตลำน้ำแม่แก่งของตำบลแม่ถอดนี้ีมีถ้ำอยู่ถ้ำหนึ่ง ที่สันนิษฐานว่าอาจจะเคยเป็นที่พำนักของพระฤาษีในสมัยโบราณ ที่ปัจจุบันได้เปลี่ยนสภาพเป็นวัดแล้ว คือ วัดถ้ำสุขเกษมสวรรค์ นั่นเอง
   โป่งหลวงเป็นสถานที่ที่มีสัตว์ป่าลงมาอาศัยกินดินโป่งมากเป็นพิเศษ และมีกิตติศัพท์ด้านความข่าม(ขลัง)ต่างๆ จึงได้เรียกว่า "โป่งดินที่ข่าม" ทั้งนี้คำว่าโป่งนี้อาจหมายถึงสิ่งที่ผุดขึ้มาด้วยก็ได้ เช่น โป่งน้ำร้อน ที่จังหวัดเชียงราย, ไส้เทียนที่ลงยันต์คาถาอาคมก็เรียกว่า โป่งเทียน, ดินที่เป็นพิษต่อการเจริญเติบโตของพืช ก็เรียกว่า โป่งแห้ง ในเขตตำบลบ้านเป้า อำเภอเมือง ลำปาง, หินที่มีเนื้ออ่อนใช้ลับมีดได้ เช่น หินในเขตอำเภอแจ้ห่ม ก็เรียกว่า หินโป่ง ซึ่งชาวตำบลแม่ถอดนำมาใช้เจียระไนแก้วโป่งข่ามอยู่ด้วยเสมอ
   แหล่งแก้วตำบลแม่ถอด เป็นแก้วหินที่งอกอยู่ใต้ชั้นผิวดินในลักษณะที่ผุดขึ้นมาโดยช่องร้าวของชั้นดิน และจากการที่มีเรื่องเล่าสืบต่อกันมา อาจจะีแปลความหมายว่าเป็นแหล่งที่ผุดขึ้นมาของความข่าม(ขลัง)คงกระพัน ณ สถานที่แห่งนั้นเป็นบริเวณโป่งแก้วอันล้ำค่า
   เรื่องราวของโป่งข่าม
   ประวัติเรื่องความคงกระพัน
   ในเขตดอยโป่งหลวง เป็นบริเวณที่มีดินโป่งสำหรับสัตว์ป่าที่มาอาศัยกินได้ที่กว้างใหญ่ที่สุดในระแวกดอยต่างๆ อยู่ใกล้เขตป่าแพ่งที่เป็นต้นกำเนิดลำห้วยแม่โป่งที่ต่อมาได้ไหลไปรวมกับห้วยแม่แก่ง ยังให้เกิดดินโป่งอีก เช่น บริเวณโป่งแกและโป่งห่าง
   เขตดอยโป่งหลวงมีพืชพันธุ์แมกไม้ร่มรื่น มีน้ำในลำห้วยเล็กๆไหลรินตลอดทั้งปี บริเวณดังกล่าวในสมัยโบราณใช้เป้นที่ชักลากไม้ไผ่และหาของป่า สำหรับขุมแก้วที่มีอยู่แม้จะมีการสืบทราบกันมานานแล้วแต่น้อยคนนักที่จะรู้แหล่งขุมแก้วต่างๆได้อย่างแน่นอน โดยวัตถุประสงค์ของผู้ที่เข้าป่ามีต่างกัน บางคนก็เข้าไปหาหน่อแก้ว บ้างก็หาของป่าล่าสัตว์ และก็ได้มีสกุลพรานป่าของบ้านแม่แก่ง ได้แก่ตระกูลของนายจี๋ สามีของนางปัน นามสกุลคำภิโรชัย มีผู้สืบสกุลสองคน ชื่อนางนวล และนายสุข นายจี๋เป็นน้าเขยของนายก๋วน เชื้อจิ๋ว อดีตผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ ๕ ตำบลแม่ถอด ซึ่งเป็นผู้ยืนยันเรื่องราวของนายจี๋ ว่าเป็นบุคคลที่มีตัวตนที่จะได้บอกเล่าเรื่องราวแก่ผู้เขียน ในปี พ.ศ. ๒๕๑๓ ดังเรื่องราวต่อไปนี้
   นายจี๋ คำภิโรชัย เสียชีวิตเมื่อมีอายุได้ ๙๐ ปี เมื่อราว พ.ศ. ๒๔๘๐ นายจี๋เป็นพรานป่าเก่าแก่ของบ้านแม่แก่งรุ่นแรกๆ ซึ่งรุ่นหลังถัดมาู่ คือ นายแก้วมูล ราชอุปนันท์ เป็นผู้นำเรื่องราวของนายจี๋มายืนยันประกอบได้ในฐานะที่เป็นพรานป่ามาด้วยกัน ย่อมมีเคล็ดบางอย่างเป็นสำคัญ
   เรื่องมีอยู่ว่า นายจี๋ไดออกไปล่าสัตว์บริเวณที่เป็นโป่งหลวง ปรากฏว่าเวลาที่ยิงปืนลูกปืนมักจะขัดลำกล้อง ยิงไม่ค่อยออกเป็นที่น่าประหลาดใจนัก ต่อมาก็ได้ทำคอกดักสัตว์ได้เก้งติดมาตัวหนึ่ง ก็หาวิธีฆ่าเก้งตัวนั้นเพื่อที่จะนำกลับไปบ้านด้วยวิธีใช้หลาวแทง แต่เก้งตัวนั้นก็รอดพ้นจากคมหลาวทุกครั้งไปและก็ได้หนีหลุดรอดไปได้อย่างน่าอัศจรรย์ ได้สร้างความประหลาดใจรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงน่าสะกิดใจแก่พรานป่าเป็นอันมาก ทำให้นายจี๋ไม่กล้าออกไปล่าสัตว์บริเวณนั้นอีก เคยมีพรานป่าอื่นจะเผาป่าเพื่อล่าสัตว์บริเวณนั้น เมื่อจะจุดไฟ ไฟก็ไม่ติดไหม้ป่าแห่งนั้น และนายจี๋ก็ยังคงมีอาชีพพรานป่าแต่ก็คงล่าบริเวณอื่นที่ไกลจากบ่อโป่งหลวง เรื่องราวความคงกระพันอันมีคำว่า "ข่าม" จึงได้เกิดขึ้นมา ณ บริเวณนั้นควบคู่กับเรื่องของนายจี๋จากนั้นเป็นต้นมา เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นราวปี พ.ศ. ๒๔๔๐
   นอกเหนือจากอภินิหารแก้วโป่งข่ามแล้ว ยังได้มีพรานป่าและคนหาของป่าที่ผ่านบริเวณนั้น มักจะได้พบแสงประหลาดอยู่เนืองๆ ออกมาจากบ่อโป่งข่ามหลวง ซึ่งสมัยก่อนก็เคยมีผู้คนเห็นแสงประหลาดขึ้นมาจากราวป่า แต่ก็ไม่รู้ว่าพิกัดอยู่ ณ ที่ใด 




ข้อมูล : จากหนังสือขุมทรัพย์สังฆเติ๋น, เนื่องในงานทอดกฐินสามัคคีถวายวัดสบคือ อำเภอเถิน จังหวัดลำปาง
           เรียบเรียงและเขียนโดย อาจารย์ศักดิ์ สักเสริญ (ศักดิ์ ส.) รัตนชัย 


หมายเหตุ : มีการแก้ไขข้อความและการเรียบเรียงบางส่วนจากต้นฉบับ

ที่มา http://www.thoenpost.com/tale/keaw%20pongkham.html

สถานที่ท่องเที่ยว

วัดถ้ำสุขเกษมสวรรค์    


     ตั้งอยู่ที่ 96 หมู่ 3 ต.แม่ถอด อ.เถิน จ.ลำปาง ปากทางเข้าด้านหน้าของวัดจะมีรูปปนพระพุทธเจ้า และั้ีพญานาคพระนอนที่ด้านหน้าของปากทางเข้าถ้ำ บริเวณในถ้ำก็จะมีพระพุทธรูป ปางต่างๆ ข้างบนจะมองลงมาเห็นโบสถไม้สักทองทั้งหลังสวยงามมาก ข้างในมีพระประธานในโบสถ์ ทางเดินขึ้นไปสัการะรอยพระพุทธบาท นอกจากนี้บริเวณรอบ ๆ วัดถ้ำสุขเกษมยังเป็นป่าและภูเขา ซึ่งมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่หลายองค์อยู่บนหน้าผาสูงดูสง่างามมาก มีถ้ำธรรมชาติ เหมาะสำหรับ พักผ่อนหย่อนใจสำหรับผู้ที่ชอบบรรยากาศแบบธรรมชาติและผู้ที่ประสงค์จะปฏิบัติธรรม
    
อ่างเก็บน้ำแม่มอก
         
      ตั้งอยู่ที่ ต.เวียงมอก อ.เถิน จ.ลำปาง เป็นอ่างเก็บน้ำเป็นอ่างคันดิน ความจุ 96 ล้านลูกบาศก์เมตรพื้นที่กักเก็บน้ำอยู่บริเวณหุบเขามีธรรมชาติที่สวยงาม เป็นสถานที่ท่องเที่ยว แห่งใหม่ที่มีศักยภาพดีสำหรับการพัฒนาต่อไปที่น่าสนใจอย่างยิ่ง


อุทยานแห่งชาติแม่วะ


      ประกาศจัดตั้งเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ.2543 เป็นต้นกำเนิดของน้ำตกแม่วะมีพื้นที่ 368,125 ไร่ หรือ 589 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ตำบลต่างๆ ในอ.เถิน อ.แม่พริก จ.ลำปาง อ.สามเงา อ.บ้านตาก จ.ตาก ภูมิประเทศเป็นเทือกเขาสูงติดต่อกัน โดยมีดอยตาจี่เป็นยอดเขา สูงสุด มี ความสูงประมาณ 1,027 เมตร จากระดับน้ำทะเล สภาพป่าแตกต่างกันไปตามระดับ ความสูงของพื้นที่เป็นป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง ป่าสนเขาและดิบแล้ง ลักษณะสัณฐานของ เทือกเขาในอุทยานจะเป็นที่ราบเป็นแนวไปตามสันเขา มีต้นไม้ขนาดใหญ่และพืชสมุนไพร อุดมสมบูรณ์ รวมทั้งกล้วยไม้และดอกไม้นานาชนิดที่นี่ยังมีความหลากหลายทางกายภาพ
ทั้งชนิดของดิน และสภาพป่าทำให้พืชและสัตว์ต่างๆ อาศัยอยู่หลายชนิดแต่ที่น่าสนใจ คือกิ้งก่าบิน ี่ปัจจุบันจะพบเห็นได้ยาก แต่ยังพบเห็นได้ในอุทยานแห่งชาติแม่วะในระหว่าง เดือนสิงหาคม ถึง พฤศจิกายน จะเป็นช่วงที่ป่างามมากที่สุด เต็มไปด้วยสีสันของดอกไม้ป่า ยอดเขา จะมีหมอกปกคลุม น้ำตกและลำห้วยจะมีน้ำไหลแรงนักท่องเที่ยวนิยมมาผักผ่อน ในช่วงเดือนนี้ ที่พักและสิ่งอำนวย ความสะดวก มีบริการบ้านพักและสถานที่กางเต็นท์ไว้บริการสำหรับนักท่องเที่ยว